***Update 3 (11/09/13) อัพเดทเนื้อหาและเพิ่มราคาของ iPhone 5S และ iPhone 5C แล้ว !! ตรงไหนเป็นเนื้อหาอัพเดทจะใช้ * เป็นการบอกนะครับ
“$99 ?” “ห๊ะ 3,000 บาท iPhone เนี่ยนะ ??” “ทำไม iPhone ในอเมริกามันถูกกว่าในไทยอะ ??” ประโยคพวกนี้ผมมักจะได้ยินทุกครั้งเมื่อ iPhone รุ่นใหม่ออกมา หรือมีข่าวเปิดตัวในอเมริกา แล้วก็เป็นผมอีกนี่แหละที่ต้องอธิบายให้บรรดาคนรู้จักเข้าใจ และผมก็เชื่อว่าหลายๆคนมักสงสัยกันว่าทำไม iPhone ในอเมริกาถึงถูกกว่าในประเทศไทยนัก ? ดังนั้นวันนี้ก็เขียนบทความเอาไว้เลยดีกว่า เพราะผมเชื่อว่าคำถามมันมาทุกปีแน่พี่น้อง !! (ฮา)
Contract or Non-Contract ??
ดังนั้นเรามาเริ่มเข้าประเด็นด้วยการรู้จักคำ คำนี้กันก่อน “Contract” หรือแปลเป็นไทยว่า “เครื่องติดสัญญา” และ “Non-Contract” แปลเป็นไทยว่า “เครื่องไม่ติดสัญญา หรือเครื่องเปล่านั่นเอง” ซึ่งรูปแบบการขายการขาย iPhone ทั่วโลกก็จะมี 2 รูปแบบนี้ละครับ (ก็แน่ล่ะจะมีแบบไหนอีก – -) ในการขายมือถือแบบติดสัญญานั้นทาง Operator จะปล่อยตัวเครื่องออกมาในราคาที่ถูกมากครับ เช่น $99 ,$199 ดังนั้นคงจะมีคนสงสัยใช่ไหมครับว่าแล้วเค้าจะเอากำไรมาจากไหนกันแน่ ? เค้าเอากำไรจากการที่เราติดสัญญานั่นแหละครับ หรือบางคนจะชอบเรียกมันว่า “สัญญาทาส” นั่นเอง เวลาเราไปซื้อ iPhone กับเครือข่ายใน USA นั้น เค้าก็จะ Price Plan มาให้เลือกเลยครับ คุยกี่นาท่ี, Data เท่าไหร่, Message เท่าไหร่ คล้ายๆกับในบ้านเรานั่นแหละครับ ที่ซื้อเครื่องพร้อมโปรโมชั่นจะได้เครื่องที่ถูกลง แต่ของเราเป็นเพียงสัญญาบังคับระยะสั้นเท่านั้น (3 เดือน) เลยได้เครื่องถูกน้อยหน่อย แต่ในอเมริกาจะเป็นสัญญาแบบยาวเลยครับ (2 ปี) ดังนั้นสังเกตุว่าเครื่องจะถูกมากเพราะเป็นสัญญาระยะยาว และทาง Apple ก็จะไปหักค่าเครื่องเอาจากทาง Operator นั่นเอง ในประเทศอย่างอเมริกานั้น จะชอบขายแบบนี้มากกว่าเครื่องเปล่าครับ เพราะว่ากันว่าคนอเมริกาชอบเครื่องถูก(?) แต่ยอมติดสัญญาแทน แต่ก็จริงนะครับเพราะโทรศัพท์อย่าง iPhone นั้น ถ้าอยากจะให้ให้เต็มประสิทธิ์ภาพจริงๆก็ควรจะมี Internet ควบคู่ไปด้วย อีกอย่างส่วนมากโปรโมชั่นที่มาพร้อมกับเครื่องนั้นมักจะคุ้มค่ากว่าโปรโมชั่นที่ทางค่ายมือถือเปิดให้สมัครแบบปกติอีกด้วย แถมที่เด็ดสุดก็คงจะเป็นพอหมดสัญญา 2 ปีแล้วบางค่ายยังให้เคลมเครื่องใหม่เลยครับ ! เช่น คุณใช้ iPhone 3GS อยู่พอมาถึง iPhone 4S ก็จะครบกำหนด 2 ปีพอดี เราก็สามารถขอเคลมเป็นเครื่องรุ่นใหม่ได้ทันทีแต่ต้องเสียเงินเพิ่ม และเริ่มนับสัญญา 2 ปีใหม่ เท่าที่ดูก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยสำหรับในอเมริกา ดังนั้นหลายๆคนก็ยังคงเลือกซื้อแบบติดสัญญาอยู่นี่แหละครับ
จากรูปที่เห็นก็เป็น Price Plan ของทั้ง 3 ค่ายใน USA จะเห็นได้ว่า ถ้าเราซื้อแบบติดสัญญายังไงก็ไม่ได้เครื่องถูกหรอกครับ แต่จริงๆมันยังมีวิชามารอีกมากมาย ทั้งขอยกเลิกสัญญาก่อนเอย (แต่ต้องจ่ายค่าปรับ) แจ้งหายเอย หนีเลยก็มี !! แต่ก็ไม่ใช่วิธีที่ดีและสะดวกสบายซักเท่าไหร่ดังนั้นอย่าไปรู้มันเลยเนอะ
“เดี๋ยวได้โชว์หราอยู่ใน Blacklist ของอเมริกามันจะจ๊าบบบบ !! เกินไป”
Lock or Unlock
ถัดจากประเด็นเรื่องติดสัญญาไม่ติดสัญญา คำที่ต้องรู้ต่อจากนั้นก็คือ “เครื่องล็อค (Lock)” และ “เครื่องอันล็อค (Unlock)” นั่นเอง ผมเชื่อว่าหลายๆคนที่คิดจะซื้อ iPhone คงจะเคยได้ยินคำว่าเครื่อง Lock และเครื่อง Unlock กันมาบ้างอย่างแน่นอน
เครื่อง Lock คืออะไร ?
เครื่อง Lock ก็คือเครื่อง iPhone จะทำการผูกติดกับ Operator นั้นๆที่เราทำสัญญาด้วย โดยตัวเครื่องจะไม่สามารถใช้กับซิมของ Operator อื่นๆได้ เช่นถ้าเราซื้อเครื่องกับเครือข่ายของ AT&T เครื่องของเราก็จะไม่สามารถใช้กับเครื่อข่ายของ Sprint ได้เป็นต้น
ดังนั้น “ก่อนหน้านี้” การที่บางคนคิดจะซื้อเครื่องในอเมริกามาใช้ในไทยจึงไม่สามารถใช้ได เพราะในอเมริกาขายแต่เครื่อง Lock เท่านั้น การที่จะใช้ได้นั้นจำเป็นต้องอาศัยการแฮกเครื่องที่หลายๆคนเรียกว่า Jailbreak เครื่องก่อนนั่นเอง (จะไม่ขอพูดถึงรายละเอียดส่วนนี้นะครับ) ที่ผมเน้นคำว่า “ก่อนหน้านี้” เพราะอะไร ? เพราะก่อนหน้านี้อเมริกาจะขายเฉพาะเครื่อง Lock เชื่อมกับเครื่อข่ายเท่านั้น แต่หลังจาก iPhone 4S เปิดตัว Apple ได้เปิดขาย iPhone แบบ Official Unlock ผ่านทาง Apple Online Store เองแล้ว ส่วนเครื่องที่ขายผ่านเครือข่ายก็ยังคงเป็นเครื่อง Lock เช่นเดิม
* หลังจากการเปิดตัว iPhone 5S ที่ผ่านมาราคาของ iPhone 5S ในอเมริกาแบบ Unlock ยังคงขายราคาเดิมตามรูปข้างล่าง
* และยิ่งไปกว่านั้น Apple มีการเปิดตัว iPhone 5C อีกด้วยซึ่งราคา Unlock ในอเมริกาจะเป็นดังนี้
เครื่อง Unlock คืออะไร ?
แน่นอนว่าเครื่อง Unlock ก็คือเครื่องที่ตรงข้ามกับเครื่อง Lock นั่นเอง กล่าวคือเป็นเครื่องที่สามารถใช้ได้กับเครื่อข่ายได้ทั่วโลกเลยนั่นเอง ซึ่งรูปแบบของเครื่องที่ขายในไทยก็จะเป็นเครื่องแบบนี้ สาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะกฎหมายในไทยเองด้วย เพราะกฎหมายบังคับไม่ให้ตัวมือถือนั้นผูกติดกับค่ายใดค่ายหนึ่ง ประเทศเราจึงมีแต่แบบ Official Unlock ขายนั่นเอง ในบางประเทศนั้นมีการขายออกมาเป็นเครื่อง Lock ก่อนแล้วค่อยให้ทางค่ายปลดล็อคให้ภายหลังอยู่ด้วยแต่จะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
เว็บไซต์บอกว่าที่ไหนขายเครื่อง Lock หรือ Unlock
แล้วเลือกซื้อแบบไหนดี ??
ผมเชื่อว่าหลังจากที่ทุกคนได้เข้าใจศัพท์และความแตกต่างทั้งหมดแล้ว คำถามต่อไปก็คือจะเลือกเครื่องแบบไหนดี ? ตัวผมนั้นขอเชียร์สุดตัวเลยครับให้เลือกแบบ Official Unlock หรือเครื่องที่มีขายอยู่กับ Operator บ้านเรานี้แหละครับ เพราะเครื่อง Lock นั้นถึงแม้จะถูกกว่าก็จริง แต่การต้องมานั่ง Jailbreak รอ Software Unlock ทุก Firmware นั้นไม่สนุกหรอกครับ ยิ่งคนที่ทำเองไม่เป็นด้วยแล้ว เรียกว่าเป็นของตายให้บรรดาเหล่าร้านมือถือทั้งหลายฟันท่านเล่นเลยละครับ เพราะทุกครั้งที่ออก Firmware ใหม่ๆมาคุณก็ต้องให้พวกเค้า Unlock ให้ นอกจากจะเสียเวลาแล้วยังเสียเงินอีกด้วย ไม่แน่บวกไปบวกมากลับจะแพงกว่ากว่าซื้อเครื่อง Official Unlock ด้วยซ้ำ
“ดังนั้นผมขอแนะนำว่าถ้าไม่อยากปวดหัววุ่นวายในอนาคต ก็เลือกซื้อแบบ Official Unlock เถอะครับ”
***Update 3 (11/09/13) อัพเดทเนื้อหาและเพิ่มราคาของ iPhone 5S และ iPhone 5C แล้ว !! ตรงไหนเป็นเนื้อหาอัพเดทจะใช้ * เป็นการบอกนะครับ
“$99 ?” “ห๊ะ 3,000 บาท iPhone เนี่ยนะ ??” “ทำไม iPhone ในอเมริกามันถูกกว่าในไทยอะ ??” ประโยคพวกนี้ผมมักจะได้ยินทุกครั้งเมื่อ iPhone รุ่นใหม่ออกมา หรือมีข่าวเปิดตัวในอเมริกา แล้วก็เป็นผมอีกนี่แหละที่ต้องอธิบายให้บรรดาคนรู้จักเข้าใจ และผมก็เชื่อว่าหลายๆคนมักสงสัยกันว่าทำไม iPhone ในอเมริกาถึงถูกกว่าในประเทศไทยนัก ? ดังนั้นวันนี้ก็เขียนบทความเอาไว้เลยดีกว่า เพราะผมเชื่อว่าคำถามมันมาทุกปีแน่พี่น้อง !! (ฮา) 
Contract or Non-Contract ??
ดังนั้นเรามาเริ่มเข้าประเด็นด้วยการรู้จักคำ คำนี้กันก่อน “Contract” หรือแปลเป็นไทยว่า “เครื่องติดสัญญา” และ “Non-Contract” แปลเป็นไทยว่า “เครื่องไม่ติดสัญญา หรือเครื่องเปล่านั่นเอง” ซึ่งรูปแบบการขายการขาย iPhone ทั่วโลกก็จะมี 2 รูปแบบนี้ละครับ (ก็แน่ล่ะจะมีแบบไหนอีก – -) ในการขายมือถือแบบติดสัญญานั้นทาง Operator จะปล่อยตัวเครื่องออกมาในราคาที่ถูกมากครับ เช่น $99 ,$199 ดังนั้นคงจะมีคนสงสัยใช่ไหมครับว่าแล้วเค้าจะเอากำไรมาจากไหนกันแน่ ? เค้าเอากำไรจากการที่เราติดสัญญานั่นแหละครับ หรือบางคนจะชอบเรียกมันว่า “สัญญาทาส” นั่นเอง เวลาเราไปซื้อ iPhone กับเครือข่ายใน USA นั้น เค้าก็จะ Price Plan มาให้เลือกเลยครับ คุยกี่นาท่ี, Data เท่าไหร่, Message เท่าไหร่ คล้ายๆกับในบ้านเรานั่นแหละครับ ที่ซื้อเครื่องพร้อมโปรโมชั่นจะได้เครื่องที่ถูกลง แต่ของเราเป็นเพียงสัญญาบังคับระยะสั้นเท่านั้น (3 เดือน) เลยได้เครื่องถูกน้อยหน่อย แต่ในอเมริกาจะเป็นสัญญาแบบยาวเลยครับ (2 ปี) ดังนั้นสังเกตุว่าเครื่องจะถูกมากเพราะเป็นสัญญาระยะยาว และทาง Apple ก็จะไปหักค่าเครื่องเอาจากทาง Operator นั่นเอง ในประเทศอย่างอเมริกานั้น จะชอบขายแบบนี้มากกว่าเครื่องเปล่าครับ เพราะว่ากันว่าคนอเมริกาชอบเครื่องถูก(?) แต่ยอมติดสัญญาแทน แต่ก็จริงนะครับเพราะโทรศัพท์อย่าง iPhone นั้น ถ้าอยากจะให้ให้เต็มประสิทธิ์ภาพจริงๆก็ควรจะมี Internet ควบคู่ไปด้วย อีกอย่างส่วนมากโปรโมชั่นที่มาพร้อมกับเครื่องนั้นมักจะคุ้มค่ากว่าโปรโมชั่นที่ทางค่ายมือถือเปิดให้สมัครแบบปกติอีกด้วย แถมที่เด็ดสุดก็คงจะเป็นพอหมดสัญญา 2 ปีแล้วบางค่ายยังให้เคลมเครื่องใหม่เลยครับ ! เช่น คุณใช้ iPhone 3GS อยู่พอมาถึง iPhone 4S ก็จะครบกำหนด 2 ปีพอดี เราก็สามารถขอเคลมเป็นเครื่องรุ่นใหม่ได้ทันทีแต่ต้องเสียเงินเพิ่ม และเริ่มนับสัญญา 2 ปีใหม่ เท่าที่ดูก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยสำหรับในอเมริกา ดังนั้นหลายๆคนก็ยังคงเลือกซื้อแบบติดสัญญาอยู่นี่แหละครับ
จากรูปที่เห็นก็เป็น Price Plan ของทั้ง 3 ค่ายใน USA จะเห็นได้ว่า ถ้าเราซื้อแบบติดสัญญายังไงก็ไม่ได้เครื่องถูกหรอกครับ แต่จริงๆมันยังมีวิชามารอีกมากมาย ทั้งขอยกเลิกสัญญาก่อนเอย (แต่ต้องจ่ายค่าปรับ) แจ้งหายเอย หนีเลยก็มี !! แต่ก็ไม่ใช่วิธีที่ดีและสะดวกสบายซักเท่าไหร่ดังนั้นอย่าไปรู้มันเลยเนอะ
“เดี๋ยวได้โชว์หราอยู่ใน Blacklist ของอเมริกามันจะจ๊าบบบบ !! เกินไป”
Lock or Unlock
ถัดจากประเด็นเรื่องติดสัญญาไม่ติดสัญญา คำที่ต้องรู้ต่อจากนั้นก็คือ “เครื่องล็อค (Lock)” และ “เครื่องอันล็อค (Unlock)” นั่นเอง ผมเชื่อว่าหลายๆคนที่คิดจะซื้อ iPhone คงจะเคยได้ยินคำว่าเครื่อง Lock และเครื่อง Unlock กันมาบ้างอย่างแน่นอน
เครื่อง Lock คืออะไร ?
เครื่อง Lock ก็คือเครื่อง iPhone จะทำการผูกติดกับ Operator นั้นๆที่เราทำสัญญาด้วย โดยตัวเครื่องจะไม่สามารถใช้กับซิมของ Operator อื่นๆได้ เช่นถ้าเราซื้อเครื่องกับเครือข่ายของ AT&T เครื่องของเราก็จะไม่สามารถใช้กับเครื่อข่ายของ Sprint ได้เป็นต้น
ดังนั้น “ก่อนหน้านี้” การที่บางคนคิดจะซื้อเครื่องในอเมริกามาใช้ในไทยจึงไม่สามารถใช้ได เพราะในอเมริกาขายแต่เครื่อง Lock เท่านั้น การที่จะใช้ได้นั้นจำเป็นต้องอาศัยการแฮกเครื่องที่หลายๆคนเรียกว่า Jailbreak เครื่องก่อนนั่นเอง (จะไม่ขอพูดถึงรายละเอียดส่วนนี้นะครับ) ที่ผมเน้นคำว่า “ก่อนหน้านี้” เพราะอะไร ? เพราะก่อนหน้านี้อเมริกาจะขายเฉพาะเครื่อง Lock เชื่อมกับเครื่อข่ายเท่านั้น แต่หลังจาก iPhone 4S เปิดตัว Apple ได้เปิดขาย iPhone แบบ Official Unlock ผ่านทาง Apple Online Store เองแล้ว ส่วนเครื่องที่ขายผ่านเครือข่ายก็ยังคงเป็นเครื่อง Lock เช่นเดิม
* หลังจากการเปิดตัว iPhone 5S ที่ผ่านมาราคาของ iPhone 5S ในอเมริกาแบบ Unlock ยังคงขายราคาเดิมตามรูปข้างล่าง
* และยิ่งไปกว่านั้น Apple มีการเปิดตัว iPhone 5C อีกด้วยซึ่งราคา Unlock ในอเมริกาจะเป็นดังนี้
เครื่อง Unlock คืออะไร ?
แน่นอนว่าเครื่อง Unlock ก็คือเครื่องที่ตรงข้ามกับเครื่อง Lock นั่นเอง กล่าวคือเป็นเครื่องที่สามารถใช้ได้กับเครื่อข่ายได้ทั่วโลกเลยนั่นเอง ซึ่งรูปแบบของเครื่องที่ขายในไทยก็จะเป็นเครื่องแบบนี้ สาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะกฎหมายในไทยเองด้วย เพราะกฎหมายบังคับไม่ให้ตัวมือถือนั้นผูกติดกับค่ายใดค่ายหนึ่ง ประเทศเราจึงมีแต่แบบ Official Unlock ขายนั่นเอง ในบางประเทศนั้นมีการขายออกมาเป็นเครื่อง Lock ก่อนแล้วค่อยให้ทางค่ายปลดล็อคให้ภายหลังอยู่ด้วยแต่จะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
เว็บไซต์บอกว่าที่ไหนขายเครื่อง Lock หรือ Unlock
แล้วเลือกซื้อแบบไหนดี ??
ผมเชื่อว่าหลังจากที่ทุกคนได้เข้าใจศัพท์และความแตกต่างทั้งหมดแล้ว คำถามต่อไปก็คือจะเลือกเครื่องแบบไหนดี ? ตัวผมนั้นขอเชียร์สุดตัวเลยครับให้เลือกแบบ Official Unlock หรือเครื่องที่มีขายอยู่กับ Operator บ้านเรานี้แหละครับ เพราะเครื่อง Lock นั้นถึงแม้จะถูกกว่าก็จริง แต่การต้องมานั่ง Jailbreak รอ Software Unlock ทุก Firmware นั้นไม่สนุกหรอกครับ ยิ่งคนที่ทำเองไม่เป็นด้วยแล้ว เรียกว่าเป็นของตายให้บรรดาเหล่าร้านมือถือทั้งหลายฟันท่านเล่นเลยละครับ เพราะทุกครั้งที่ออก Firmware ใหม่ๆมาคุณก็ต้องให้พวกเค้า Unlock ให้ นอกจากจะเสียเวลาแล้วยังเสียเงินอีกด้วย ไม่แน่บวกไปบวกมากลับจะแพงกว่ากว่าซื้อเครื่อง Official Unlock ด้วยซ้ำ
“ดังนั้นผมขอแนะนำว่าถ้าไม่อยากปวดหัววุ่นวายในอนาคต ก็เลือกซื้อแบบ Official Unlock เถอะครับ”
Credit: http://ibluetus.com
เนื่องจากช่วงนี้หลาย ๆ คน กำลังจะออกรถใหม่ป้ายแดง เพื่อให้ทันกับนโยบายขอคืนภาษีรถยนต์คันแรกที่จะสิ้นสุดลงในเดือน ธ.ค. 55 นี้ ผมจึงขอแชร์ บทความดี ดี เกี่ยวกับการซื้อรถยนต์ใหม่ป้ายแดง และการตรวจสอบรถ เพื่อให้ทุกท่านใช้เป็นแนวทางก่อนตัดสินใจซื้อรถนะครับ
รถยนต์เป็นสิ่งที่เกือบทุกคนอยากจะมีไว้ใช้ แต่ทว่าราคาของมันไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถซื้อได้ บางคนเก็บเงินหลายปีกว่าจะซื้อได้ ดังนั้น เราควรจะต้องมีความรู้เรื่องนี้พอสมควร ไม่ควรรีบร้อน ผมเป็นคนหนึ่งที่ซื้อรถยนต์ป้ายแดงครั้งแรก มันก็ไม่ราบรื่นอย่างที่คิดไว้ เจอหลายๆอย่างจึงอยากแบ่งปันประสบการณ์ เพื่อให้ทุกคนได้รถอย่างที่ตัวเองหวังไว้ เริ่มต้นเลยนะครับ
1. การเลือกรถที่คุณต้องการ ควรศึกษาข้อมูลเบื้องต้นหรือถามผู้รู้และความต้องการของเรา ว่าเราชอบอะไร เพื่ออะไร
- ยี่ห้อรถยนต์ เข้าเวบของยี่ห้อนั้นดูข้อมูล เรื่องการให้บริการ ศูนย์บริการ ข่าวไม่ดีต่างๆ
- รุ่นรถ รุ่นที่เราชอบ option ต่างๆ ของแต่ละรุ่น ความจำเป็นในการใช้งาน
- สีรถ สีที่ชอบและดวงตามความเชื่อ เดี๋ยวจะต้องมาเสียเวลาติดสติกเกอร์รถสีต่างๆเพิ่มอีก
- ราคา เราควรประเมินตัวเราเองว่า เราสามารถจ่ายได้ขนาดไหน เมื่อซื้อรถจะมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายหรือเปล่า อย่าฟังคนอื่นมาก ฟังหูไว้หู เพราะยังไงเวลาเรามีปัญาเรื่องการเงินคงไม่มีใครมาช่วยจ่าย
2. การเลือกศูนย์บริการที่คุณต้องการเข้าไปซื้อรถ ควรเลือกศูนย์ที่ไว้ใจได้นะครับ เพราะเราต้องอยู่กับศูนย์นั้นหลายปีทีเดียว ขอย้ำว่าหลายปี หากเลือกผิดเราจะช้ำใจไปเลยครับ และจะทำอะไรเกี่ยวกับรถก็ลำบากไปหมด เราจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นศูนย์ที่เราต้องการ ลองพิจารณาตามนี้ดูนะครับ
- เป็นตัวแทนจากยี่ห้อรถยนต์ที่เราต้องการจะซื้อ
- ประวัติของศูนย์ครับ ต้องถามข้อมูลจากคนรอบข้างที่เคยไปใช้บริการ หรือข่าวลือต่างๆ ครับ บางศูนย์เห็นเราเข้าไปเหมือนพระเจ้า บางศูนย์เห็นเราเข้าไปเหมือนขอทาน บางศูนย์เจ้าของเป็นผู้มีอิทธิพล (เวลาเรามีปัญหาหลังจากซื้อรถไป เซลแมนจะเอามาขู่เราด้วย) เลือกศูนย์ที่มีประวัติดีนะครับ มีคนชมมากกว่าคนด่า ต่อให้ตั้งศูนย์ใหม่แต่เจ้าของคนเดิม ทีมงานเดิม การบริการก็ยังห่วยเหมือนเดิมครับ
- ศูนย์บริการใกล้บ้านครับ สะดวกต่อการติดต่อ ประหยัดน้ำมัน
3. การเลือกเซลแมน ขั้นตอนนี้สำคัญมากกว่าการเลือกศูนย์บริการนะครับ เพราะหากเจอเซลที่ดี เซลจะเป็นเหมือนที่ปรึกษาเรื่องรถที่ดีสำหรับคุณที่เดียวและคุณจะได้รถตามที่คุณหวัง แต่หากเจอเซลแย่คุณจะโดนโกงสารพัดวิธีที่เดียว เซลแมนคือที่คอยให้คำแนะนำเรื่องรถ ทำสัญญา เตรียมรถให้เรา แต่ที่สำคัญที่สุด เค้าจะต้องขายรถให้เราเพื่อทำกำไรให้ทางบริษัท และค่าคอมมิสชัน กำไรจากส่วนอื่นๆ ที่เราพลาดเผลอไปยอมรับโดยไม่ระวังซึ่งสำคัญกว่าบริการเราซะอีก แล้วเราจะเลือกยังไง
- ถ้าเซลเป็นญาติพี่น้องที่ดีต่อเรา จะดีมากเค้าคงเลือกสิ่งดีๆให้พี่น้องกันโดยไม่หวังผลกำไรมากอยู่แล้ว
- เพื่อนพี่น้อง แนะนำเซลให้ แสดงว่าคนคนนั้นเคยใช้บริการมาแล้ว เซลคงรักษามาตรฐานการให้บริการที่ดีทุกคน
- ใช้น้ำเสียงการให้บริการฟังแล้วรู้สึกสบายใจ แต่หากฟังแล้วขัดหูหรือไม่สบายใจเปลี่ยนคนเถอะ
- ขั้นตอนการอธิบายรถ อธิบายแล้วเราเข้าใจ ถามอะไรสามารถตอบได้
- อย่าเลือกเพียงเพราะหน้าตา หรือเพราะพูดเพราะ ให้จำสุภาษิตนี้ไว้เลยครับ หน้าเนื้อใจเสือปากหวานก้นเปรี้ยว การเลือกเซลแมน
4. เรื่องของแถม ดูสิว่าเซลให้ของแถมไรเราบ้าง เช่น
- น้ำมันเต็มถัง
- ส่วนลดเงินสด
- เบาะหนัง
- ฟิล์มรอบคัน ยี้ห้ออะไร ประกันกี่ปี ติดรุ่นไหนได้บ้าง ราคาที่ติดได้เท่าไร ติดที่ไหน
- เคลือบสี+กันสนิม ทำฟรีทุกครั้ง หรือเสียตังค์แต่ละครั้งเท่าไร
- ประกันภัยชั้น 1 ฟรีหรือเปล่า
- Sensor ถอยหลัง 2 หรือ 4 จุด ไม่ได้ติดจากโรงงาน ต้องถามว่าซื้อของอะไร ติดตั้งที่ไหน รับประกันกี่ปี ซ่อมที่ไหน
- อุปกรณ์แต่งรถ เช่น สปอร์ยเลอร์ กระจังหน้า คิ้วกันสาด สเกิร์ตรอบคัน คิ้วบันไดสแตนเลส ต้องถามว่าซื้อของอะไร ของศูนย์ ของร้าน หรือของแท้ ติดตั้งที่ไหน ส่วนใหญ่เค้าจะแถมของที่ซื้อจากร้าน
- ของอื่นๆ เช่น ผ้าคลุมรถ หมอนผ้าห่ม พรมปูพื้น สายรองเบลท์ อุปกรณ์ฉุกเฉิน ผ้ายางปูพื้น ถาดหลังกันเปื้อน น้ำหอม ชุดทำความสะอาด ที่ล๊อคพวกมาลัย หมอนผ้าห่ม ม่านบังแดด ฯลฯ ผมได้ครบเกือบทุกอย่างตามที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น ทำไมเค้าถึงให้ผมเยอะขนาดนี้ มันมีเหตุครับ รับรองเซลเค้าได้มากกว่าที่เสียให้ผม
- เป็นของบริษัทอะไร น่าเชื่อถือหรือเปล่า ใกล้เจ้งไหม
- บริษัทประกันนั้นมีข่าวไม่ดีจากลูกค้าหรือเปล่า เช่น บริการไม่ดี บริการช้า
- ซ่อมศูนย์ หรือซ๋อมอู่ ถึงจะเป็นประกันชั้น 1 แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถซ่อมได้ทุกที่ เพราะราคาการซ่อมที่ประกันสามารถจ่ายได้บางศูนย์หรือบางอู่ก็รับไม่ได้ อย่างกรณีผม มีศูนย์ยี่ห้อ A 2 ที่แถวบ้าน แต่ที่หนึ่งรับเคลมไม่ต้องจ่ายเพิ่ม แต่อีกที่เมื่อไปเคลมจะมีส่วนต่างที่เราต้องจ่ายเพิ่มเอง แต่ศูนย์ที่รับเคลมที่ไม่มีส่วนต่างรอคิวซ่อมนานเป็นเดือนๆ เราต้องรู้ก่อนเพื่อไม่เสียความรู้สึกภายหลัง
- ข้อควรรู้สำหรับมือใหม่ หากรถเราเสียหายโดยไม่มีคู่กรณีเราต้องจ่ายประกันเริ่มต้น 1000 บาท แต่หากมีคู่กรณี คู่กรณีจ่ายครับซ่อมฟรี แต่เสียเวลา
- บริษัทหรือธนาคารอะไร
- ดอกเบี้ยเท่าไร
- จำเป็นต้องมีประกันวงเงินสินเชื่อหรือเปล่า
- ตอนนี้ก็ลองให้เซลคิดเรื่องเงินเรื่องทองให้ดูเลยนะครับ ว่ามีค่าใช้จ่ายวันรับรถอะไรบ้าง โดยของผมทั้งหมดมันจะมีตามข้างล่าง เงินที่เราจะทำสัญญาเช่าซื้อคือ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด-เงินจอง-เงินดาวว์ ครับ
- ค่ารถยนต์รุ่นที่เราจอง
- ค่าจดทะเบียน
- ค่ามัดจำป้ายแดง
- ค่าประกันภัยชั้น 1
- พ.ร.บ.
- ค่าตกแต่ง
- ค่าประกันภัยวงเงินสินเชื่อ
- อย่าลืมขอใบเสร็จหรือสัญญาการจอง
- สัญญาการจองต้องระบุรุ่นและสีของรถที่เราต้องการให้ถูกต้อง
- สัญญาการจองต้องเขียนของแถมทุกอย่างให้ครบอย่าบอกปากเปล่า
- ตอนนี้ถามเลยครับว่ารถจะมาเมื่อไร และจะติดต่อกลับเราวันไหนระบุให้ชัดเจนเขียนลงในสัญญาเลยครับ
- หากเราละเอียดมากๆ แล้วถ้าเซลงอแง หรือแกล้งลืมๆ ไม่จด เราก็บอกไปเลยครับว่ายังไม่จอง อย่ารีบร้อนนะครับ รถไม่ใช่ถูกๆ
- หลังจากจองเสร็จก็รอ หากเซลโทรมาเปลี่ยนแปลงเรื่องของแถมก็แล้วแต่เราว่ารับได้ไหม รับไม่ได้ก็ขอเงินจองคืน
- ควรพาผู้เชียวชาญเรื่องรถยนต์ สี และพวกจับผิดเรื่องรถยนต์เก่งๆ เพราะเรามือใหม่
- มีแบบฟอร์มการตรวจตาม link นี้เลยครับ www.oknation.net/blog/print.php?id=53788 และควรจะค่อยตรวจที่ละขั้นอย่างละเอียด โดยให้คนที่พาไปด้วยช่วยเราดู อย่าแย่งกันดูนะครับ เดี๋ยวจะเช็คไม่ครบ อย่ากลัวว่าเราจะงี่เง่า รถราคาแพงครับ
- ขอดูเอกสารที่รถลงถึงอู่ ว่าวันที่เท่าไร ช่างตรวจรับหรือยัง เค้าจะเรียกว่าใบ Warranty Bosket ครับ หากไม่มี ค่อยมาตรวจใหม่วันหลัง
- สำคัญมาก อย่าลืมจดหมายเลขเครื่องเอาไว้ด้วยนะครับ ว่ารถคันนี้เราเช็คแล้ว
- ข้อตกลงเรื่องการติดตั้งของอื่นๆ เพิ่มเติม ของแถมตามสัญญาการจองเช่น ◦ติดฟิล์ม
- สปอร์ยเลอร์ กระจังหน้า คิ้วกันสาด สเกิร์ตรอบคัน คิ้วบันไดสแตนเลส
- Sensor ถอยหลัง
- เบาะหนัง
- ติดฟิล์ม ขอดูใบติดตั้ง ใบรับประกันเขียนถูกต้องเหรือเปล่า มีฟองอากาศหรือเปล่า
- สปอร์ยเลอร์ กระจังหน้า คิ้วกันสาด สเกิร์ตรอบคัน คิ้วบันไดสแตนเลส การติดตั้งเรียบร้อยหรือเปล่า น๊อตที่ใช้เป็นแบบไหน กันสนิมหรือเปล่า ขอบยางหารติดสวยหรือเปล่า ใช่ซิลิโคนอะไร มีรอยหรือเปล่า สีเข้ากับสีรถหรือเปล่า เนื้อละเอียดเหมือนสีรถหรือเปล่า
- Sensor ถอยหลัง ทดสอบว่าวัดการถอยหลังยังไง
- เบาะหนัง สีตามที่เราต้งการหรือเปล่า ตะเข็บ ติดเรียบเนียนหรือเปล่า
- รถสวยงามอย่างที่เราต้องการหรือเปล่า ใช่รุ่นที่เราต้องการหรือเปล่า ไม่ใช่มาจากโรงงานอีกรุ่น มาแต่งเป็นอีกรุ่นที่เราต้องการ มันไม่สมควร
- ตรวจตามข้อ 8 อีกรอบ เอาหมายเลขเครื่องมาดูเลยครับว่าหมายเลขเดียวกับที่เราตรวจมาแล้วหรือเปล่า
- ตรวจดูการติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งเสริมตามข้อ 8
- ของแถมครบหรือเปล่า ไม่ครบรอเซ็นรับวันหลัง
- น้ำมันเต็มถังหรือเปล่า
- เอกสารต่างๆครบหรือเปล่าเช่น
- เอกสารประกันหรือใบเสร็จ
- พ.ร.บ. หรือใบเสร็จ
- ใบเสร็จค่ามันจำป้ายแดง+สมุดคู่มือป้ายแดง
- ป้ายแดงของแท้หรือเปล่า ต้องมีตรา ขส....
- เอกสารติดตั้งฟิล์ม และรับประกันฟิล์ม
- เอกสารการรับประกันอุปกรณ์รถหรือ Warranty Bosket ที่มีชื่อเราโดยไม่มีรอยลบ ขีด เปลี่ยนแปลงข้อมูล
- คู่มือรถ
- เอกสารเซ็นต์เตรียมจดทะเบียน จะได้ป้ายขาวเมื่อไร เลือกเลขทะเบียนได้หรือเปล่า หรือต้องติดต่อกับขนส่งเอง
แชร์ประสบการณ์ที่ควรระวังนะครับ
ผมมีความเชื่อว่าคนที่ทำไม่ดีมันสามารถที่จะแก้ตัวมาทำดีได้ แต่ไม่สามารถใช้กับนโยบายของศูนย์บริการ A นี้ได้ครับ ต่อให้ทำศูนย์ใหม่หรือปรับปรุงให้ดีขนาดไหนก็ยังไม่ซื้อสัตย์กับลูกค้าอยู่ดี เพราะเจ้าของและทีมงานเป็นชุดเดิม เรื่องมีอยู่ว่า ผมตัดสินใจจองรถวันที่ 24 ธ.ค.51 รถที่ผมจองมาจากโรงงานมาวันที่ 23 ม.ค. 52 ผมตรวจเช็คตามขั้นตอน รถใหม่จากโรงงานจริง ไม่มีการแต่งเพิ่มแต่อย่างไร ฟิล์มก็ไม่ได้ติด ผมยอมรับรถที่ตรวจเสร็จแต่ขาดอย่างเดียวคือไม่ได้จดหมายเลขเครื่อง และผมก็ตกลงเรื่องการแต่งรถ ติดฟิล์ม ตอนแรกจะไม่แต่งแต่เซลให้ส่วนลดหลายพันจนผมยอม วันรับและเซ็นสัญญาผมก็เชื่อใจเซล คือผมรับและเอาออกมาจากศูนย์วันที่ 13 ก.พ. 52 เนื่องจากรอตกแต่ง พอใช้ไปซักพัก ปรากฏว่าวันที่เราต้องส่งไปรษณีย์เพื่อส่งไปขอรับใบประกันฟิล์ม ปรากฏว่า ฟิล์มถูกติดตั้ง ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย. 51 ตกใจเลยครับ ฟิล์มผมติดตั้งก่อนที่ผมจะจองรถซะอีก รถมาก่อนจองเป็นไปได้ยังไง จึงสืบข้อมูลได้ความว่า รถคันนี้คนที่จองท่านเดิมยกเลิกการจองไว้ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย. 51 เป็นรถค้างสต๊อกว่างั่นเถอะ เซลจึงพยายามชักจูงให้ผมแต่งรถให้ได้ตามรถที่ค้างอยู่ ความเชื่อใจทำให้ผมได้รถคนละคันกับที่ผมเช็คไว้ เซลไม่ได้จ่ายรถพลาด เพราะเค้าตั้งใจหลอก เค้าบอกผมว่า อย่าเพิ่งเลื่อนกระจกเพราะฟิล์มเพิ่งติด พูดมาได้ ติดไว้ตั้ง 2เดือนละ หลังจากที่ผมร้องเรียนเซลขออโหสิกรรมจากผม แต่ผมติดว่า คนที่กล้าหลอกคนอื่นอย่างหน้าตาเฉยรู้จักกลัวบาปกรรมเหรอความสวยและปากหวาน ไม่ได้ช่วยทำให้คนเรามีจิตใจดีได้เลย เราเรียกร้องอะไรไม่ได้มากเนื่องจากเจ้าของศูนย์ใหญ่โต ก็ต้องยอมรับเงือนไขที่เค้าเสนอมาเพียงเล็กน้อย แต่ความรู้สึกเราไม่ได้กลับคืนมา และใช่ว่าเค้าจะยอมรับความผิด เค้าบอกว่าเซลทำเหมาะสมแล้ว คือเค้าต้องเคลียร์สต๊อกของเก่าออกไปก่อน เป็นอุดทาหรที่เราควรระวังรูปแบบของเซลขายรถ เซลขายรถเพื่อประโยชน์ของตัวเค้าเอง เพื่อทีมงานของเค้า และศูนย์ของเค้า หากเราไม่ระวัง เราก็จะตกเป็นเหยื่อได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นอย่าไว้ใจเซลและศูนย์ที่มีข่าวไม่ดี
1. Salary for Country: Thailand
http://www.payscale.com/research/TH/Country=Thailand/Salary
Median Salary by Job
|
Key Statistics for Thailand Salaries and Jobs
|
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น